
ธุรกิจมาเลเซียขยายต่อเนื่อง ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ประเทศมาเลเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศสมาชิกที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้เช่นเดียวกับประเทศไทยและประเทศสมาชิกอื่น ประเทศมาเลเซียมีพรมแดนติดกับประเทศไทยบริเวณตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู มีประชากรประมาณ 30 ล้านคน ประชากรเหล่านี้นับถือศาสนาที่แตกต่างกัน แต่อย่างที่บางท่านอาจทราบแล้วว่าประชากรส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 60 นับถือศาสนาอิสลาม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมาเลเซียเป็นตลาดอาหารฮาลาลขนาดใหญ่ และแม้ว่าภาษาราชการจะเป็นภาษามาเลย์ (Bahasa Malayn) แต่ภาษาอังกฤษและภาษาจีนก็เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศมาเลเซียเช่นกัน มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ดีและประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและเสถียรภาพทางการเมืองในทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ที่แข็งแกร่งทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นได้จากสถิติที่ผ่านมา GDP ของประเทศมาเลเซียเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2553 อยู่ที่ 246.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 287.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2554 และในปี 2555 ที่ผ่านมา GDP ของประเทศอยู่ที่ 307.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้รายได้ประชากรต่อหัวในปี 2555 สูงตามไปด้วยถึง 16,942 เหรียญสหรัฐฯ จึงจัดว่าเป็นประเทศที่มีรายได้ประชากรปานกลาง – สูง สำหรับนักลงทุนบางท่านที่กังวลต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศมาเลเซียปีนี้ว่าจะมีผลกระทบใดๆ ในทางเศรษฐกิจหรือไม่นั้นก็คงได้ทราบผลกันแล้วเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่าพรรคแนวร่วม “บาริซาน เนชั่นแนล” ที่นำโดยพรรค “อัมโน” ของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ทำให้นายนาจิบ ราซัค ดำรงแหน่งนายกรัฐมนตรีต่ออีก 5 ปีหลังจากผูกขาดการปกครองประเทศมานานกว่า 56 ปี จึงมีการคาดการณ์กันว่าอีก 5 ปีต่อจากนี้ก็คงไม่มีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นมากนัก แต่หากแม้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงในด้านการเมืองเกิดขึ้นจริงก็มีผลวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่มองว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของมาเลเซียนั้นจะไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจมากนักเนื่องจากที่ผ่านภาคเอกชนของมาเลเซียเป็นส่วนหลักในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของทางภาคการเมือง ดังนั้นไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ธุรกิจมาเลเซียก็สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ในแง่ของการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศนั้น รัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ร้อยละ 100 ในสาขาบริการต่างๆ จำนวนมาก ครอบคลุมบริการด้านการท่องเที่ยว สุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ การขนส่ง รวมถึงการลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค ธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดล่วงหน้า (Future brokerage firms) ผู้จัดการกองทุนบริหารสินทรัพย์ในตลาดล่วงหน้า (Future fund managers) และผู้ให้คำปรึกษาการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า (Futures trading advisers) ทั้งนี้ภายใต้แผนงานการพัฒนาประเทศมาเลเซีย ปี พ.ศ. 2551 – 2563 รัฐบาลมาเลเซียได้กำหนดสาขาเศรษฐกิจหลักแห่งชาติไว้ 12 สาขา (National Key Economic Areas: NKEAs) อาทิ น้ำมัน ก๊าซ และพลังงาน น้ำมันปาล์ม บริการทางการเงิน ท่องเที่ยว บริการทางธุรกิจ อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ค้าส่งและค้าปลีก การศึกษา การสื่อสารโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งหากลงทุนในสาขาดังกล่าวก็จะได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ ตัวอย่างบริษัทขนาดใหญ่ของไทยที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศมาเลเซียแล้ว ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง (มาเลเซีย) จำกัด หรือ ซีพีมาเลเซีย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ที่เข้าไปลงทุนในมาเลเซียกว่า 40 ปีแล้ว ทำให้ปัจจุบันธุรกิจอาหารแปรรูปของซีพีในมาเลเซียมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 รองจาก KFT เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีบริษัทสามารถ ไอโมบาย จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอ-โมบาย ที่ประสบความสำเร็จอย่างดีมาตลอดกับการทำธุรกิจในมาเลเซีย จากการที่ประเทศมาเลเซียมีเศรษฐกิจที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนไทยที่จะพิจารณาเข้าไปลงทุนในประเทศมาเลเซีย ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...
Recent Comments