AEC Advisor in Asian Economic Community of ASEAN Countries

ลงทุนทวาย 3 ชาติ

ลงทุนทวาย 3 ชาติ

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com โครงการทวายเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมาก เนื่องจากโครงการทวาย (Dawei Development) เป็นโครงการที่รัฐบาลพม่าถือว่าเป็นโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์ของชาติ จึงมีการออกกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) เพื่อยกระดับ จังหวัดทวาย เป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone) และให้สิทธิประโยชน์หลาย ๆ อย่างแก่นักลงทุน นอกเหนือจากนี้ ก็เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในโครงการทวาย อย่างไรก็ดี นักลงทุนรายแรกที่ได้สัมปทานเข้าไปพัฒนาพื้นที่ก็คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (Italian-Thai Development Public Company Limited : ITD) บริษัทสัญชาติไทยนั่นเอง โดยได้เข้าไปพัฒนาโครงการในนามบริษัทลูกที่ชื่อ บริษัท ทวาย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (Dawei Development Company Limited : DDC) ภายใต้ขอบข่ายความตกลงระหว่างบริษัท ITD และการท่าเรือแห่งสหภาพพม่าในปี 2553 เมื่อปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมารัฐบาลไทยและพม่าได้มีการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า อันเป็นการยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการทวาย จากเดิมที่เป็นการทำสัญญาระหว่างเอกชน อันได้แก่ บริษัท ITD กับรัฐบาลพม่า กลายเป็นความร่วมมือระดับ “รัฐต่อรัฐ” (G to G) แทน ทั้งนี้ บริษัท ITD ยังคงร่วมลงทุนพัฒนาโครงการทวายด้วยเช่นเดิม แต่มีรัฐบาลไทยเข้ามาให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงด้านเม็ดเงินลงทุน ซึ่งโครงการทวายต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากการพัฒนาในระยะแรกเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งจากข่าวที่ปรากฏทราบกันดีว่า “ทวายโปรเจ็กต์” หรือโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายมีมูลค่า 3 แสนล้านบาท เป็นโครงการลงทุนใหญ่ติดอันดับโลก ทั้งเป็นที่หมายตาของชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจเอเชีย คือ จีน และญี่ปุ่น ที่ต่างต้องการร่วมโครงการ อย่างไรก็ดี จากการให้สัมภาษณ์ของกรรมการผู้จัดการ บริษัท ITD รูปร่างของการร่วมลงทุนดูจะเห็นชัดมากขึ้น โดยการร่วมลงทุนในทวาย น่าจะเป็นไปในลักษณะ 3 ชาติร่วมกัน ได้แก่ เมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น นั่นเอง จากการเยือนประเทศไทยล่าสุดของ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภารกิจสำคัญอันหนึ่งในการเดินทางมาครั้งนี้ คือ ความร่วมมือเร่งรัดผลักดันโครงการทวาย โดยเฉพาะการหาแหล่งเงินลงทุนจากญี่ปุ่นในอัตราเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผ่านองค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือไจก้า ไม่นับรวมสถาบันการเงินอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้ยกหนี้บางส่วนให้รัฐบาลเมียนมาร์ พร้อมเสนอวงเงินกู้ให้ ขณะที่รัฐบาลเมียนมาร์ให้สิทธิ์ญี่ปุ่นในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือที่ติละวา นิคมอุตสาหกรรมสำคัญตอนใต้กรุงย่างกุ้ง และมีการนำทีมนักธุรกิจญี่ปุ่นลงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายด้วย ญี่ปุ่นให้ความสนใจพื้นที่ทวายเป็นพิเศษสำหรับเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตเหล็กต้นน้ำ เพื่อส่งวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ตั้งฐานผลิตในไทย และนิคมยังเป็นแหล่งที่ตั้งโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ทุนญี่ปุ่นในอนาคตอีกด้วย เหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นความสำคัญยิ่งของโครงการทวายในสายตาญี่ปุ่น ประกอบกับการหารือระหว่าง นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย และ นายโชสุเกะ โมริ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจคันไซจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 14-16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศญี่ปุ่นยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมาก โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน รวมไปถึงการลงทุนในโครงการทวายด้วย คาดว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดการลงทุนได้ภายในเดือนมีนาคม 2556 ที่จะถึงนี้ นอกจากนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นแล้วยังมีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนที่ให้ความสนใจเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการทวายเช่นกัน อย่างไรก็ดี มูลค่าการลงทุนที่ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอเฉลี่ยสูงกว่ามูลค่าการลงทุนของนักลงทุนจีนถึง 3 เท่า ทำให้รัฐบาลไทยต้องพิจารณาถ่วงดุลการเป็นพันธมิตรกับนักลงทุนทั้ง 2 ประเทศอย่างรอบคอบ สำหรับรูปแบบการร่วมลงทุนเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนนั้นค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า จะมีการจัดตั้ง นิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) ในลักษณะที่เป็น บริษัทจำกัด หรือ บริษัทมหาชน ขึ้นในประเทศไทย ในเบื้องต้นฝ่ายไทยจะถือหุ้นใน SPV ทั้งหมดร้อยละ 50 ในขณะที่หุ้นที่เหลือจะเป็นของประเทศเมียนมาร์ และญี่ปุ่นตามลำดับ โดยส่วนของประเทศญี่ปุ่นนั้นรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ต้องหารือกับทางฝ่ายญี่ปุ่นเกี่ยวกับข้อสรุปสัดส่วนการถือหุ้นใน SPV ให้ชัดเจนอีกทีก่อน ทั้งนี้ ในส่วนหุ้นของฝ่ายไทยนั้นรัฐบาลจะถือหุ้นร้อยละ 26 จากหุ้นร้อยละ 51 ดังกล่าว ส่วนที่เหลือจะเป็นหุ้นของบริษัท ITD ซึ่งจะถือจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ไม่เกินร้อยละ 25 การตั้ง SPV นี้ต้องใช้เวลาการจัดตั้ง 6-8 เดือนโดยประมาณ เนื่องจากต้องมีการยกร่างกฎหมายจัดตั้งและจัดทำบันทึกข้อตกลงต่าง ๆ โดยเมื่อจัดตั้งแล้ว SPV นี้จะทำหน้าที่เป็น Holding company ที่จะมีนิติบุคคลย่อย ๆ (SPCs) อีก 8 บริษัทด้วยกัน เพื่อลงทุนในแต่ละสาขาโดยเฉพาะ รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการลงทุนในโครงการทวายนี้น่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภายหลังการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวเนื่อง (JCC) ครั้งต่อไป ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2556 ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...

เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด

เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com การพัฒนาเมืองชายแดนแม่สอดได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชนมาหลายปีแล้ว โดยเมื่อปี พ.ศ. 2547 ได้มีการวางแนวทางการพัฒนาไปสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมอนุมัติงบประมาณสนับสนุน เพื่อการพัฒนาไปสู่ เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรก ของประเทศไทย ด้วยเม็ดเงินหลายพันล้านบาท แม้จะมีการวางแนวทางการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แต่ความคืบหน้าก็เป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งตรงข้ามกับเมืองเมียวดีของพม่าที่เปรียบเสมือนเมืองคู่แฝดกับแม่สอด ที่ขณะนี้ถูกยกระดับขึ้นเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี เพื่อเตรียมพร้อมรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้แถลงว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดตั้งระเบียบดังกล่าว พร้อมมีความเห็นชอบให้อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่นำร่องเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษพื้นที่แรก ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ หมายถึงพื้นที่พิเศษหรือบางส่วนขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นแห่งหนึ่งหรือบางแห่ง และได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการค้าสินค้าและบริการหรือการลงทุน เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการค้าบริเวณพรมแดนและการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน รวมทั้งการพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สอดคล้องกับระบบ ASEAN Single Window และบทนิยามอื่น ๆ ประโยชน์ของการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็คือจะเป็นพื้นที่มีการผ่อนปรนในเรื่องกฎระเบียบการลงทุน และมีการให้สิทธิพิเศษหลายประการแก่นักลงทุน รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษอันเป็นไปตามจุดประสงค์ของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยังมีการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกด้านข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม บริการพื้นฐานต่างๆ ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษได้เพียงหนึ่งวัน นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่แม่สอดเพื่อตรวจดูสภาพพื้นที่แม่สอด ตรวจเยี่ยมสภาพสะพานมิตรภาพไทย-พม่า รวมไปถึงฟังบรรยายสรุปเรื่องเขตเศรษฐกิจแม่สอด และสถานการณ์ภาพรวมของสภาพเศรษฐกิจของจังหวัดตาก ว่าจังหวัดตากมีรายได้เฉลี่ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้เทศบาลนครแม่สอดยังเสนอให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนด้านการคมนาคม เพิ่มระบบโลจิสติกส์ อุโมงค์รถไฟเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไป ตาก – แม่สอด รวมถึงการที่จังหวัดได้เตรียมพื้นที่กว่า 500 ไร่ เพื่อสร้างศูนย์กระจายสินค้ารองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทั้งยังเป็นจุดที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศจีนและอินเดียได้ด้วย ซึ่งคณะรัฐบาลแสดงท่าทีที่เห็นด้วยกับการยกระดับแม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ การให้ความสำคัญกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็น AEC นั่นเอง นอกจากนี้ ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และตกลงเลือกให้อำเภอแม่สอดเป็นพื้นที่นำร่องเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว ก็ได้มีตัวแทนคณะรัฐบาลลงพื้นที่อำเภอแม่สอดเพื่อศึกษาเขตจัดตั้งเศรษฐกิจพิเศษอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเยือนแม่สอดของ นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ที่เดินทางมาลงพื้นที่ชายแดนไทย – พม่า ดูการส่งสินค้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า รวมไปถึงบริเวณท่าเรือขนส่งสินค้าริมแม่น้ำเมย อำเภอแม่สอด เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลอำเภอแม่สอด พร้อมนำข้อมูลเข้าสู่คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารฯ ของสภาผู้แทนราษฎร นำไปศึกษาการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ เห็นด้วยกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ให้เป็นตัวอย่างของเขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่องก่อนที่จะมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่นๆ ในอนาคต ส่วน นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เพิ่งเดินทางมาตรวจดูสภาพพื้นที่จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา การเดินทางมาเยือนอำเภอแม่สอดของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เพื่อติดตามการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ดูช่องทางการค้าชายแดน รวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อศึกษาถึงศักยภาพและความพร้อมของแม่สอดในการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและประตูสู่อาเซียน พร้อมนำข้อมูลทั้งหมดเสนอให้คณะรัฐมนตรีเร่งออกพระราชกฤษฎีกา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด รวมไปถึงการจัดงบประมาณสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวต่อไป อำเภอแม่สอด เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากเป็นเมืองชายแดนไทย – พม่า ที่การค้าชายแดนเฟื่องฟูมานานหลายปี โดยเฉพาะการค้าผลผลิตทางด้านการเกษตรและการ บริการ ทั้งในส่วนการท่องเที่ยวและการขนส่ง “แม่สอด” ถือเป็นเมืองที่สำคัญบนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ East – West Corridor ที่จะสามารถเชื่อมเส้นทางการคมนาคมทางบกไประหว่างอินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป กับประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกได้ การยกระดับ “อำเภอแม่สอด” ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจึงเป็นโอกาสอันดีของนักลงทุนไทยและนักลงทุนอาเซียน เมื่อมีการเข้าสู่การเป็น AEC ในอนาคต ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...

นิติบุคคลเฉพาะกิจทวาย

นิติบุคคลเฉพาะกิจทวาย

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com โครงการทวาย (Dawei Development) เป็นโครงการระดับเมกะโปรเจคของพม่าที่รัฐบาลไทยประกาศว่าจะเข้าร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการดังกล่าวกับรัฐบาลพม่าและบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ITD ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทยผู้เป็นเจ้าของสัมปทานเดิมที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาพัฒนาโครงการนี้ โดยได้เข้าไปพัฒนาโครงการในนามบริษัทลูกที่ชื่อ บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนต์ จำกัด (Dawei Development Company Limited: DDC) ภายใต้ขอบข่ายความตกลงระหว่างบริษัท ITD และการท่าเรือแห่งสหภาพพม่าในปี 2553 การเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการทวายของรัฐบาลไทยจากการที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าได้มีการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าเป็นการยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการทวายให้กลายเป็นความร่วมมือระดับรัฐต่อรัฐ (G2G) การที่รัฐบาลไทยและพม่ามีความพยายามในการชักชวนให้ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการทวายทำให้ต้องมีการปรับรูปแบบการลงทุน การระดมทุน สัญญาสัมปทาน และความตกลงอื่นที่มีขึ้นก่อนหน้านี้ระหว่างรัฐบาลพม่าและบริษัท อิตาเลียนไทยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้รัฐบาลไทยและพม่าได้มีการหารือระหว่างกันเกี่ยวกับรูปแบบการลงทุนและการระดมทุนในโครงการทวาย โดยในการประชุมร่วมระหว่างคณะทำงานและคณะอนุกรรมการร่วมระดับสูง 6 ชุด ระหว่างไทยและพม่าเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวเนื่อง (JCC) ได้มีการพิจารณารูปแบบการลงทุนและระดมทุน 2 รูปแบบด้วยกัน รูปแบบแรกคือการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle: SPV) ขึ้นมา ซึ่ง SPV นี้จะมีสถานะเป็น Holding Company มีการจัดตั้งนิติบุคคลย่อย (SPCs) เพื่อดำเนินการดูแลแยกย่อยไปในแต่ละส่วน (Sector) โครงการ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบประปา เป็นต้น ทั้งนี้ SPV ซึ่งเป็นบริษัทแม่จะเป็นผู้ครอบครองสัมปทานและสิทธิต่างๆ ส่วนรูปแบบที่สองคือการจัดตั้งนิติบุคคลรายย่อย หรือ SPCs แยกออกไปดูแลแต่ละ Sector โดยมีการทำสัญญา Sectorial Agreement แยกต่างหากสำหรับแต่ละ Sector โดยสัมปทานและสิทธิต่างๆ จะเป็นของแต่ละ SPCs ไม่มีบริษัทแม่เป็นผู้ควบคุมดูแล SPCs ดังเช่นรูปแบบแรก หลังจากที่ทั้งฝ่ายไทยและพม่าต่างศึกษาถึงรูปแบบการลงทุนและระดมทุนทั้งสองแบบดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีการหารือกันนอกรอบหลายครั้ง ในการประชุม JCC ครั้งที่ผ่านมาที่ประชุม JCC ได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการตามรูปแบบแรกคือการตั้ง SPV ขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบการระดมทุนที่สามารถระดมทุนได้ง่ายกว่า โดยการระดมทุนผ่าน SPV รายเดียว ในขณะที่รูปแบบที่ 2 นั้นมีการจัดตั้ง SPCs ออกเป็นหลายบริษัท มีการทำสัญญาหลายฉบับ การระดมทุนก็จะต้องทำแยกต่างหากกัน ทำให้ระดมทุนได้ยุ่งยากกว่ารูปแบบแรก ทั้งนี้เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า Holding Company ที่จะจัดตั้งขึ้นประกอบไปด้วยผู้ถือหุ้นไม่เกิน 4 กลุ่ม ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ารัฐบาลไทยและพม่า คือ ผู้ถือหุ้น 2 กลุ่มแรกของโครงการนี้ ส่วนผู้ถือหุ้นกลุ่มที่ 3 นั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากการประชุม JCC ครั้งที่ผ่านมามีผู้แทนจากสถานทูตญี่ปุ่นเข้ามาร่วมสังเกตการณ์และยังมีหน่วยงานสำคัญของญี่ปุ่น 2 หน่วยงาน ได้แก่ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JICA) และองค์กรการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เข้าร่วมประชุม สำหรับผู้ถือหุ้นรายที่ 4 นั้นมีรัฐบาลบางประเทศที่เสนอเข้ามาร่วมลงทุนด้วยแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเป็นประเทศใด ทั้งนี้ข้อเสนอและมติที่ประชุมต่างๆ จะถูกนำเสนอคณะกรรมการระดับสูงของทั้งสองประเทศให้พิจารณา และจะมีการลงนามความร่วมมือเพิ่มเติมระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศเทศในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ นิติบุคคลเฉพาะกิจ หรือ Special Purpose Vehicle (SPV) นี้หมายถึง นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง ผู้จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจจะเป็นใครก็ได้ ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ต้องการก่อตั้งนิติบุคคลเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ SPV นี้จะจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วน บริษัทมหาชน หรือกองทุนก็ได้ โดยการดำเนินงานของ SPV ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด SPV นี้นิยมจัดตั้งขึ้นเพื่อระดมทุน ซึ่ง SPV ที่คุ้นเคยกันดี ได้แก่ SPV ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) นั่นเอง สำหรับบทบาทของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือสัมปทานพัฒนาโครงการทวายเดิมนั้นมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนบทบาทจากเดิมที่มีบทบาทเป็นผู้พัฒนา (Developer) กลายเป็นผู้ลงทุน (Investors) ใน SPCs ต่างๆ ที่จะจัดตั้งขึ้น ทั้งนี้บทบาทของบริษัท อิตาเลียนไทยจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการลงนาม MOU ฉบับใหม่ระหว่างรัฐบาลไทยและพม่าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ต่อไป ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ดาวโหลดเอกสาร...

กลยุทธ์การลงทุน (ภาค 2)

กลยุทธ์การลงทุน (ภาค 2)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ในคอลัมน์ฉบับที่แล้วเราได้พูดถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนของ 5 ประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อันได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนิเชีย มาเลเซีย และลาว ไปแล้ว ในคอลัมน์ฉบับนี้จะขอพูดถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนของ 4 ประเทศสมาชิก AEC กันต่อ เริ่มต้นที่ประเทศเวียดนาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเวียดนามประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทั้งนี้รัฐบาลเวียดนามได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบทางการค้าและการลงทุนให้เกิดความคล่องตัว สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นและปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ จากกิจการร่วมทุนมาเป็นกิจการที่ลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดมากขึ้น โดยภาคธุรกิจที่รัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุน ได้แก่ การท่องเที่ยว การขนส่งโลจิสติกส์ การบริการท่าเรือ ภาคการเกษตร รวมถึงสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ นอกจากนี้เวียดนามยังเตรียมปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้เป็นธรรมเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC อีกด้วย รัฐบาลพม่าสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศโดยรัฐบาลพม่าจะเป็นผู้พิจารณาโครงการลงทุนในเบื้องต้น ซึ่งรูปแบบการลงทุนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล มี 2 รูปแบบ คือ 1.การลงทุนที่ชาวต่างชาติถือทั้งหมดในบริษัท 2.การร่วมทุนซึ่งแบ่งเป็นการร่วมทุนกับรัฐบาลพม่าโดยนักลงทุนต่างชาติสามารถเจรจาขอร่วมลงทุนได้มากกว่า 35% ของมูลค่าเงินลงทุนรวม และการร่วมทุนกับเอกชนพม่าซึ่งนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ในสัดส่วนน้อยกว่า 35% ของกิจการดังกล่าว นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในลักษณะที่เป็น BOT (Build Operate and Transfer) ในธุรกิจ ประเภทโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ส่วนการลงทุนที่เป็น PSC (Product Sharing Contract) อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนเฉพาะด้านการสำรวจและขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้ประโยชน์เท่านั้น นอกจากนั้นพม่ายังได้ปรับระบบการเงินของประเทศใหม่โดยเริ่มจากการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอัตราลอยตัวแบบมีการจัดการ และการเร่งปรับปรุงระบบการชำระเงินของประเทศให้มีความเป็นสากลยิ่งขึ้น รัฐบาลฟิลิปปินส์มีการออกกฎหมาย Foreign Investment Act 1991 เพื่อชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ตามกฎหมายฉบับดังกล่าวนักลงทุนต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของกิจการโดยไม่ต้องมีคนท้องถิ่นร่วมทุนในหลากหลายประเภทธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น การก่อสร้าง รถไฟฟ้า ท่าอากาศยาน และพลังงาน เป็นต้น อนึ่งรัฐบาลของฟิลิปปินส์ยังได้กำหนดนโยบายเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนโดยการอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนการดำเนินธุรกิจของคนต่างด้าวให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค นอกจากนั้นฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นการอุปโภคบริโภคสินค้าต่างๆภายในประเทศจึงค่อนข้างสูง หากต่างชาติต้องการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในฟิลิปปินส์จึงมีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เนื่องจากมีตลาดขนาดใหญ่ ในขณะที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนมีนโยบายที่ให้ความเท่าเทียมกันระหว่างนักลงทุนในประเทศกับนักลงทุนต่างประเทศ กฎหมายการลงทุนของสิงคโปร์จึงเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก ไม่มีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำและให้สิทธิ์ในการที่ชาวต่างชาติจะซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้รวมถึงไม่มีการควบคุมการโอนเงินตราต่างประเทศ และผลกำไรในการประกอบธุรกิจออกนอกประเทศ และรัฐบาลสิงคโปร์ให้ต่างชาติทำธุรกิจได้ 100 % ในหลายๆประเภท ยกเว้นธุรกิจด้านกฎหมาย การประกอบอาชีพทนายความ กิจการที่เกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจ นอกจากนั้นประเทศสิงคโปร์ยังพยายามผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในด้านต่างๆ อาทิ การเงินการธนาคาร การพาณิชย์ ด้านอวกาศ ด้านแฟชั่น การบัญชี การบินและการขนส่ง เป็นต้น ซึ่งคาดการณ์ว่านโยบายดังกล่าวจะจูงใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนทำกิจการประเภทต่างๆในในสิงคโปร์ได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่า 9 ประเทศสมาชิกเพื่อนบ้าน AEC นั้นต่างพยายามเตรียมความพร้อมกันอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ชาติของตนมีความได้เปรียบและพร้อมที่จะแข่งขันเมื่อ AEC เปิด ทั้งนี้ประเทศไทยของเราก็จะต้องเร่งเตรียมความพร้อมไม่ให้น้อยหน้าอีก 9 ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังเหลือเวลาอีกสองปีก่อนที่ AEC จะเริ่มต้น แนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนของแต่ละประเทศอาจยังมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอีก จึงต้องติดตามรับฟังนโยบายส่งเสริมการลงทุนของแต่ละประเทศสมาชิก AEC กันต่อไป  ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ดาวโหลดเอกสาร...

กลยุทธ์การลงทุน (1)

กลยุทธ์การลงทุน (1)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าจะก่อให้เกิดตลาดลงทุนแห่งใหม่ของโลก ด้วยความสดใหม่ของทรัพยากรในอาเซียน ความมีเสรีภาพในการลงทุน ตลาดแรงงานที่ราคาไม่สูงนัก น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาแสวงหาโอกาสในภูมิภาคอาเซียนกันมากขึ้น ทั้งนี้ในระหว่างรอเปิด AEC นั้นประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศต่างพยายามวางกลยุทธ์ต่างๆ ให้ตนมีความพร้อมแข่งขันและจูงใจนักลงทุนมากที่สุด ในคอลัมน์นี้จะขอนำเสนอถึงแผนนโยบายสนับสนุนการลงทุนเบื้องต้นของสมาชิกเพื่อนบ้าน AEC ทั้ง 9 ประเทศให้นักลงทุนไทยได้รับทราบเพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขัน รวมถึงมองหาโอกาสเข้าไปลงทุนใน 9 ประเทศเมื่อ AEC เปิดแล้ว เริ่มต้นที่รัฐบาลบรูไนที่ได้ให้การสนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้าการลงทุนมากขึ้น โดยอนุญาตให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเกือบทุกสาขาธุรกิจและอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ทุกสาขา ยกเว้นแต่เพียงอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรภายในประเทศและที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางอาหารของประเทศเท่านั้นที่ยังคงต้องมีผู้ถือหุ้นในประเทศอย่างน้อย 30% ร่วมด้วย นอกจากนี้รัฐบาลบรูไนยังให้ความสำคัญมากกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะการลงทุนเกี่ยวกับการผลิตปิโตรเคมีขั้นสุดท้ายและอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้พลังงานของบรูไน รัฐบาลกัมพูชาได้ออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนที่จะให้สิทธิประโยชน์และความมั่นใจแก่ นักลงทุนที่จะถือครองสิทธิในทรัพย์สินต่างๆ (ยกเว้นกรรมสิทธิ์ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ถือครองได้ต้องเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชาเท่านั้น ต่างด้าวสามารถใช้สิทธิได้ด้วยการเช่าหรือสัมปทาน) และรัฐบาลให้หลักประกันแก่นักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนว่า จะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับคนในชาติและจะไม่ถูกบังคับจากนโยบายกำหนดราคาสินค้าและบริการหากมีการใช้บังคับในภายหลัง รวมทั้งสามารถซื้อและโอนเงินตราต่างประเทศไม่ว่าจะเพื่อชำระสินค้าหรือจ่ายกำไรตามระบบธนาคาร นอกจากนี้รัฐบาลกัมพูชายังมีนโยบายการค้าเสรี ไม่มีข้อกีดกันทางการค้า มีเพียงข้อห้ามการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่กระทบกับความมั่นคง สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น อินโดนีเซีย เมื่อต้นปี พ.ศ. 2555 รัฐบาลได้ออกมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศ โดยให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่นักลงทุนใน 129 สาขาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำให้มีการใช้ทรัพยากรในประเทศเป็นวัตถุดิบและลดการนำเข้าสินค้าบริโภคขั้นสุดท้าย เช่น การเพาะปลูกพืช การทำเหมืองแร่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อิเล็กทรอนิกส์ ยาและอาหาร มาเลเซีย ภายใต้แผนพัฒนามาเลเซีย ปีพ.ศ. 2551-2563 รัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 100% ในสาขาบริการย่อย 27 สาขา ครอบคลุมบริการด้านการท่องเที่ยว สุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการขนส่ง รวมถึงการลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค ศูนย์จัดซื้อสินค้าระหว่างประเทศและการทำธุรกิจเหมืองแร่ ขณะเดียวกันยังมีการคลายข้อกำหนดการถือหุ้นของต่างชาติและเงื่อนไขด้านการส่งออกและการลงทุนด้านการผลิตอีกด้วย นอกจากนี้รัฐบาลมาเลเซียยังมีการผ่อนปรนมาตรการทางภาษีให้แก่นักลงทุนจากต่างชาติ โดยจะมีการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลจาก 28% เป็น 27% และจะลดลงเหลือ 26% ในอนาคตอันใกล้ กับทั้งรัฐบาลมาเลเซียยังมีนโยบายที่เตรียมจะยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นักลงทุนต่างชาติอีกในอัตราถึง 70-100% เป็นเวลา 5 ปีอีกด้วย สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวนั้น รัฐบาลกำลังต้องการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศอยู่แล้ว โดยตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนของลาว พ.ศ. 2552 นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ ได้มากมาย ยกเว้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือส่งผลกระทบด้านลบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ ซึ่งล่าสุดรัฐบาลลาวได้อนุมัติให้มีการดำเนินโครงการ “Vientiane New World” ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างเขตเมืองใหม่ที่เกาะดอนจัน (Don Chan Island) ริมแม่น้ำโขง ในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยรวมเอาสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความทันสมัยต่างๆ และเอื้อต่อการทำธุรกิจรวมไว้ด้วยกัน คาดการณ์ว่าโครงการนี้จะมีส่วนจูงใจนักลงทุนมากขึ้น กับทั้งจะแก้ไขปัญหาสิ่งอำนวยความสะดวกและที่อยู่อาศัยที่ขาดแคลนในประเทศ นอกจากนั้นโครงการนี้จะก่อให้เกิดธุรกิจประเภทต่างๆ เช่น ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกด้วย จะเห็นได้ว่านโยบายสนับสนุนการลงทุนของทั้ง 5 ประเทศล้วนมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป เหล่านักลงทุนไทยจึงควรศึกษาให้ดีและเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมต่อการเข้าไปลงทุนในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม AEC ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ ดังนั้นนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนของทั้ง 5 ประเทศจึงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมอีกเพื่อให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น สำหรับในครั้งหน้าคอลัมน์ของเราจะนำเสนอแนวนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของอีก 4 ประเทศที่เหลือให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...