AEC Advisor in Asian Economic Community of ASEAN Countries

ปรับปรุงท่าอากาศยานรับ AEC

ปรับปรุงท่าอากาศยานรับ AEC

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและการที่ประชากรในเอเชียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีการคมนาคมทางอากาศมากขึ้นและอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทแอร์บัส (Airbus S.A.S) บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของโลกคาดการณ์ไว้ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าปริมาณเครื่องบินพาณิชย์ในเอเชียจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,400 ลำ จากปัจจุบันในเอเชียมีเครื่องบินพาณิชย์ประมาณ 4,300 ลำ สำหรับในภูมิภาคอาเซียนนั้นอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สังเกตได้จากการเกิดของสายการบินราคาประหยัด (Low – Cost Airlines) ที่เกิดขึ้นหลายรายในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็น Nok Air, Air Asia, Jetstar, Tiger Airways เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเสนอนโยบายการเปิดเสรีทางการบินภายในภูมิภาคอาเซียนเมื่อปี พ.ศ. 2552 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้อุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศเติบโตมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการเปิดเสรีทางการบินนี้ช่วยลดข้อจำกัดในการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ รวมไปถึงการลดข้อจำกัดด้านความจุและความถี่ของเที่ยวบินระหว่างประเทศอีกด้วย จากการเติบโตของอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศในอาเซียนดังกล่าวทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศต้องทำการปรับปรุงและขยายท่าอากาศยาน รวมทั้งเตรียมพร้อมในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงรันเวย์และการสร้างท่าอากาศยานเพิ่มเพื่อรองรับนักเดินทางและการขนส่งทางอากาศอื่นๆ เช่นในประเทศสิงคโปร์มีโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี (Changi Airport) โดยมีแผนการสร้างอาคาร Terminal 4 เพิ่ม รวมไปถึงการขยายอาคาร Terminal 1 ของสนามบิน เพื่อรองรับผู้โดยสาร ซึ่งปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมามีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานชางงีกว่า 51.2 ล้านราย เป็นต้น ในส่วนของประเทศไทยนั้นมีโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาความแออัด สนามบินไม่พอรองรับผู้โดยสาร ทั้งนี้ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ได้เปิดเผยแล้วว่ามีแผนการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ซึ่งหากดำเนินการขยายเสร็จจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 60 ล้านคน โครงการขยายท่าอากาศยานฯ ระยะที่ 2 คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ ทอท. ยังมีแผนที่จะขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในระยะที่ 3 ต่อไป เนื่องจากคาดว่าในปี พ.ศ. 2560 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 60 ล้านคน ซึ่งจะเท่ากับจำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานจะรองรับได้หลังจากการขยายระยะที่ 2 จึงต้องเร่งสร้างโครงการระยะที่ 3 ให้เร็วขึ้น เพื่อมิให้ประสบปัญหาความแออัดตั้งแต่เริ่มเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ด้านท่าอากาศยานเชียงใหม่ที่คาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจนทะลุ 5.1 ล้านคน ก็เตรียมที่จะปรับปรุงท่าอากาศยานเช่นกัน โดยท่าอากาศยานเชียงใหม่จะเน้นไปที่การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นบริการ Wi-Fi มุมสำหรับเด็กและมุมอ่านหนังสือเพื่อให้ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการจัดพื้นที่แสดงสินค้า OTOP และจัดการแสดงพื้นเมืองภายในท่าอากาศยานเพื่อเผยแพร่และส่งเสริมวัฒนธรรมไทยให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย นอกจากนี้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังมีนโยบายการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพร้อมจะสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้เป็น Green Airport อีกด้วย ส่วนจังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชาและมีนโยบายที่จะพัฒนาจังหวัดให้เป็นประตูอีสานสู่สากล เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีเส้นทางเชื่อมต่อกับประเทศกัมพูชาและสามารถเดินทางต่อไปถึงประเทศเวียดนามได้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์จึงมีแผนที่จะปรับปรุงสนามบินสุรินทร์ภักดี สนามบินเก่าของจังหวัดที่ปัจจุบันไม่ได้เปิดใช้เชิงพาณิชย์ ให้กลายเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ เพื่อเปิดเส้นทางคมนาคมทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การลงทุน จังหวัดสุรินทร์ถือเป็นประตูสู่อาเซียนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการบินของภาคอีสานตอนใต้ รองรับผู้โดยสารและการขนส่งทางอากาศในแถบอีสาน กัมพูชา และเวียดนาม อันเป็นการเพิ่มทางเลือกในการคมนาคมและขนส่งระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้อีกด้วย การปรับปรุงท่าอากาศยานต่างๆ ของไทยนี้จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะปรับปรุงท่าอากาศยานต่างๆ ให้ทันสมัย สะดวกสบาย พร้อมรับผู้โดยสารที่จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2558 นั่นเอง ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...

การลงทุนในเวียดนาม

การลงทุนในเวียดนาม

 ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ประเทศเวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมาก เศรษฐกิจของเวียดนามในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาที่ดีขึ้นและยังปรับตัวในทิศทางที่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจโลก รัฐบาลเวียดนามยังมีนโยบายสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยการให้ สิทธิประโยชน์ หลายประการแก่นักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ การที่เวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เมื่อปี 2550 ทำให้รัฐบาลเวียดนามต้องเร่งเปิดเสรีการลงทุนให้เป็นไปตามเกณฑ์ของ WTO ยิ่งส่งผลให้เวียดนามน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนไทยมากขึ้น แม้ว่าประเทศเวียดนามจะมีระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม แต่ก็เปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศใช้ กฎหมายการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Law on Foreign Direct Investment) ตั้งแต่ปี 2530 เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีการปฏิบัติและให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า เวียดนามมีนโยบายที่สนับสนุนการลงทุนโดยนักลงทุนจากต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงด้านการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม คือ กระทรวงวางแผนและการลงทุน หรือ Ministry of Planning and Investment (MPI) ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการวางแผนนโยบายและสิทธิประโยชน์ในการลงทุนให้กับชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ นอกจากนี้แล้ว กระทรวงดังกล่าวยังมีหน้าที่กำกับดูแลให้ความช่วยเหลือในด้านข้อมูลและส่งเสริมการลงทุนในเวียดนาม รวมไปถึงการพิจารณาและอนุมัติการลงทุนในโครงการต่าง ๆ การเปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุน เป็นการกระตุ้นให้มีการลงทุนและเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2553 อัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามอยู่ที่ร้อยละ 6.78 และในปี 2554 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นจากปี 2553 อีกร้อยละ 5.89 จึงเห็นได้ว่าเวียดนามมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ หากเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ด้วยกัน การลงทุนในเวียดนามนั้นมีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองของเวียดนามที่มีเสถียรภาพสูง ไม่ค่อยมีปัญหานัก ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่น่าโดนปัจจัยความมั่นคงทางการเมืองรบกวน ทั้งยังมีนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนที่โดดเด่นในการให้สิทธิประโยชน์แก่ นักลงทุนมาก เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ในกรณีที่เป็นการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกภายในเวลาไม่เกิน 270 วัน นับแต่วันที่นำเข้าวัตถุดิบ การให้สิทธิ์ในการส่งผลกำไรกลับประเทศได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องเสียภาษีจากผลกำไรที่โอนกลับประเทศนั้น การคิดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่างชาติ สำหรับธุรกิจทั่วไปในอัตราเดียวกันกับนิติบุคคลเวียดนาม ที่อัตราร้อยละ 25 และสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ หากมีการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติสูง มีทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ สำหรับโครงสร้างประชากรเวียดนามในปัจจุบันนั้น พบว่าร้อยละ 50 ของชาวเวียดนามเป็นประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี อัตราการรู้หนังสือ (Literacy Rate) ก็อยู่ในระดับสูงคือร้อยละ 94 สำหรับค่าแรงของแรงงานเวียดนามก็ถูกกว่าอินโดนีเซีย จีน และไทยค่อนข้างมาก โดยถูกกว่าค่าแรงในอินโดนีเซียกับจีนประมาณร้อยละ 30-40 และถูกกว่าไทยร้อยละ 60 แม้ค่าแรงของชาวเวียดนามในปีนี้มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นราวร้อยละ 25-30 เพื่อจูงใจให้ชาวเวียดนามมาเป็นแรงงานกันมากขึ้น จากเดิมค่าแรงที่ต่ำจนไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน และเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การปรับขึ้นแรงงานขั้นต่ำดังกล่าว ก็ยังถือว่าเป็นค่าแรงที่ถูกกว่าของไทย แรงงานเวียดนามยังได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนต่างชาติ ว่ามีฝีมือดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา และพม่า ด้านผู้บริโภคชาวเวียดนามก็มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับผู้บริโภคชาวไทย อีกทั้งจากการที่เวียดนามมีประชากรมากถึง 90 ล้านคน ทำให้ตลาดเวียดนามถือเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสในการลงทุนสูง ด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้น แม้ว่าถนนหนทางจะยังไม่พร้อมเท่าของไทย แต่ขณะนี้เวียดนามกำลังเตรียมปรับปรุงและก่อสร้างสนามบินจำนวน 26 แห่งทั่วประเทศ ทั้งยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ซึ่งได้ลงนามความตกลงกับญี่ปุ่นให้เข้ามาช่วยเหลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟฟ้าชินคันเซ็นให้ โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างใน ค.ศ. 2015 อย่างไรก็ดี ประเทศเวียดนามยังต้องมีการปรับปรุงเรื่องกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่ยังไม่ทันสมัยเพียงพอ ตลอดจนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งสาธารณูปโภคที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางบกที่มีต้นทุนสูง ปัญหาเรื่องไฟฟ้าที่ในบางพื้นที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน เกิดเหตุไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นประเทศหนึ่งที่มักประสบกับปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะพายุและอุทกภัยบ่อย ๆ นักลงทุนจึงต้องพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียในประเด็นต่าง ๆ ให้รอบคอบและถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจลงทุน ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ดาวโหลดเอกสาร            ...

โอกาสในลาว

โอกาสในลาว

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว เป็นประเทศล่าสุดใน ASEAN ที่เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกหรือ WTO (World Trade Organization) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การก้าวเข้าเป็นสมาชิก WTO ทำให้ สปป.ลาว มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและช่วยยกระดับภูมิภาคอาเซียนให้มีความเป็นสากลมากขึ้นตามไปด้วย การก้าวเข้าเป็นสมาชิก WTO ดังกล่าวส่งผลให้ สปป.ลาว ปรับเปลี่ยนนโยบายและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกับกรอบปฏิบัติทางการค้าของ WTO อันจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจต่างชาติที่สนใจทำธุรกิจทั้งการค้าและการลงทุนกับ สปป.ลาว มากขึ้น โดยข้อผูกพันการเปิดตลาดที่สำคัญของ สปป.ลาว อาทิ การปรับโครงสร้างภาษีสินค้านำเข้า (Bound Rate) โดยผูกพันอัตราภาษีนำเข้าทุกประเภทเฉลี่ยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 18.8 และไม่เกินร้อยละ 19.3 สำหรับสินค้าในกลุ่มเกษตร รวมไปถึงการเปิดตลาดบริการจำนวน 10 สาขาหลัก 79 สาขาย่อย เช่น บริการทางธุรกิจ บริการโทรคมนาคม การก่อสร้าง บริการโรงพยาบาลเอกชน เป็นต้น จึงช่วยขยายโอกาสทางการค้าและดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนใน สปป.ลาว มากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่าการเป็นสมาชิก WTO เต็มตัวของ สปป.ลาว ในครั้งนี้แม้อาจจะยังไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนัก แต่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างกฎระเบียบที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจมากขึ้น และสถาบันการเงินอย่าง IMF คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจ สปป.ลาว น่าจะเติบโตที่อัตราสูงอย่างต่อเนื่องมากกว่าร้อยละ 7 ต่อปีในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2557 ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับธุรกิจไทยเนื่องจากตามสถิติที่ผ่านมาประเทศไทยกับ สปป. ลาวเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับต้นๆ มาโดยตลอด จะเห็นได้จากสถิติมูลค่าการลงทุนใน สปป.ลาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 – 2553 พบว่าประเทศไทยเข้าไปลงทุนเป็นอับดันที่ 2 รองจากประเทศจีน และยังพบว่าในครึ่งปีแรกของปี 2555 การค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่าร้อยละ 47 สำหรับความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว ที่สำคัญ ได้แก่ คณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย – ลาว หรือ Joint Trade Committee ซึ่งต่อมากลไกนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการประชุมแผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าไทย – ลาว โดยประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้งลาว และให้สิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรในการนำเข้าสินค้าในกรอบอาเซียน ทำให้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา สปป.ลาว สามารถส่งสินค้าไปประเทศสมาชิกอาเซียนรวมทั้งไทยได้โดยไม่ต้องเสียภาษีกว่า 300 รายการ และล่าสุดกระทรวงคมนาคมได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมระหว่างไทย สปป.ลาว และจีนในการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างกันในเส้นทางไทย ลาว และจีน ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางโลจิสติกส์ให้สะดวกยิ่งขึ้น รวมระยะทาง 1,800 กิโลเมตร ซึ่งในปีแรกที่เปิดใช้เส้นทางนี้จะมีการยกเว้นภาษีให้รถที่เข้า-ออกประเทศละ 100 คันในการขนส่งสินค้าระหว่างกันตามชายแดน บางคนอาจจะยังคงติดภาพของ สปป.ลาว ที่มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอ นโยบายของรัฐบาลกลางกับนโยบายของแต่ละแขวงอาจยังไม่สอดคล้องกันในทางปฏิบัติ เส้นทางคมนาคมขนส่งภายในประเทศยังไม่ดี ปัญหาดังกล่าวนี้น่าจะหมดไปในไม่ช้าเมื่อรัฐบาล สปป.ลาว ได้อนุมัติโครงการ “Vientiane New World” ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างเขตเมืองใหม่ที่เกาะดอนจัน ริมแม่น้ำโขงในนครหลวงเวียงจันทน์ โครงการ Vientiane New World นี้เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท CAMC Engineering Co., Ltd. ของจีนกับบริษัท Krittaphong Group Co., Ltd. ของ สปป.ลาว ด้วยมูลค่าการลงทุน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะรวมเอาสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความทันสมัยและเอื้อต่อการทำธุรกิจรวมทั้งที่อยู่อาศัยระดับสูงไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีศูนย์พักนานาชาติ (International Residence Center) ซึ่งจะเป็นย่านพักอาศัยที่ดีที่สุดของชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ คาดว่าจะส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งของนครหลวงเวียงจันทน์ในอีก 6 – 8 ปีข้างหน้านี้ โอกาสของนักลงทุนไทยในการเข้าไปทำธุรกิจใน สปป.ลาว นั้นยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูป อาหารจากผลผลิตทางการเกษตร การรับเหมาก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งจากโครงการ Vientiane New World น่าจะเป็นอีกโอกาสหนึ่งของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของไทยในการเข้าไปลงทุนก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจร้านอาหารที่หากไปดำเนินการใน สปป.ลาว ก็สามารถนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศไทยไปได้อย่างสะดวกเนื่องจากมีพรมแดนติดกันทำให้การขนส่งใช้เวลาไม่นาน นับจากนี้ สปป.ลาว น่าจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่นักลงทุนทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียนให้ความสนใจเข้าไปศึกษาและลงทุนมากขึ้น ใครจะรู้ว่าการลงทุนใน สปป.ลาว อาจนำมาซึ่งผลกำไรที่ไม่น้อยไปกว่าการลงทุนในสิงคโปร์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดก็เป็นได้ ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ดาวโหลดเอกสาร...

พม่าผงาด

พม่าผงาด

  ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปภายหลังการจัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่ออกมาว่าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งมีนางอองซาน ซูจี เป็นประธานพรรคได้รับชัยชนะหลังจากการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปต่างมีท่าทีที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรกับพม่า โดยสหรัฐฯ ได้ส่งทูตเข้าไปประจำในประเทศพม่าและยังอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับคัดเลือกจากฝ่ายนิติบัญญัติของพม่าเข้าในประเทศสหรัฐฯ ได้ อีกทั้งจะมีการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนสหรัฐเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศและจะให้การสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติในโครงการพัฒนาประเทศพม่าอีกด้วย ภายหลังการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวนั้นสหภาพยุโรปยังไม่มีความชัดเจนออกมามากนักเพียงแต่เปิดเผยในเวลานั้นว่าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตรกับพม่าอยู่เช่นกัน แต่ล่าสุดสหภาพยุโรปได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่ไม่ใช่มาตรการทางทหาร (Non-military) ในพม่าอย่างเป็นทางการแล้วเพื่อแสดงการยอมรับในความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในประเทศพม่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยสหภาพยุโรปได้ยุติการคว่ำบาตรทั้งหมดทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เหลือไว้แต่เพียงการค้าอาวุธและยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ยังคงอยู่ โดยประธานฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปได้เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศว่าแม้ในขณะนี้พม่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จทั้งในเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย การต่อสู้กับความยากจนและการบรรลุสันติภาพอย่างถาวร แต่ก็ถึงเวลาแล้วที่พม่าและสหภาพยุโรปจะต้องมีการสายสัมพันธ์กันมากขึ้น ความคิดเห็นที่ออกมาจากทางฝั่งของพม่าเองก็ดูจะเป็นไปในทางบวกที่พร้อมจะพัฒนาประเทศให้มากขึ้นไปพร้อมๆ กับความคาดหวังที่จะได้รับการยอมรับ โดยจะเห็นได้จากการออกมากล่าวของนายออง ลิน นักการทูตอาวุโสของพม่าที่กล่าวว่าประชาคมโลกสามารถคาดหวังกับพม่าได้ว่าจะมีการปฏิรูปมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนของเศรษฐศาสตร์สังคม และพม่ากำลังตั้งตารอการขึ้นเป็นประธานอาเซียนเป็นครั้งแรกในปีหน้าและจะแสดงให้โลกเห็นถึงความมุ่งมั่นในการปฏิรูปของพม่า พร้อมกันนี้ยังคาดหวังถึงการยอมรับจากสหภาพยุโรปที่จะมีต่อการปฎิรูปพม่าที่มากขึ้น แม้ว่าในขณะนี้พม่ายังมีอีกหลายปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ปัญหาความยากจน การต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยรวมถึงการสร้างมาตรฐานความเป็นอยู่ให้กับประชาชนชาวพม่า แต่อย่างน้อยการยกเลิกการคว่ำบาตรพม่าในครั้งนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นของขวัญจากสหภาพยุโรปสำหรับการปฎิรูปที่เกิดขึ้นในพม่านับตั้งแต่รัฐบาลทหารตัดสินใจวางมือจากการปกครองประเทศ ซึ่งการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในครั้งนี้น่าจะสร้างความมั่นใจในการลงทุนที่จะมาจากฝั่งยุโรปมากขึ้น ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...

กัมพูชาค่าแรงต่ำ

กัมพูชาค่าแรงต่ำ

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com กัมพูชา มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ราชอาณาจักรกัมพูชา” (The Kingdom of Cambodia) หรือชื่อที่คนไทยมักจะเรียกกันติดปากว่าเขมร กัมพูชานั้นเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรหมแดนติดต่อกับประเทศไทยทั้งทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ มีเมืองหลวงชื่อกรุงพนมเปญ มีประชากรเฉลี่ย 14.8 ล้านคน กัมพูชาเข้าร่วมกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) เป็นลำดับสุดท้ายใน ปี พ.ศ. 2542 ในการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในระยะเวลาอันใกล้จะถึงนี้นั้น ในคอลัมน์ฉบับนี้จะขอนำผู้อ่านไปทำความรู้จักแง่มุมต่างๆของประเทศกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนจุดแข็งของประเทศ รวมทั้งโอกาสและช่องทางการทำธุรกิจกับกัมพูชาสำหรับนักลงทุนชาวไทย หลังจากที่ประเทศกัมพูชาถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2496 ประเทศนี้เผชิญกับสงครามกลางเมืองโดยมีการแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือฝั่งรัฐบาลและฝ่ายสังคมนิยม หลังสงครามกลางเมืองนานหลายทศวรรษ สงครามการเมืองจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสังคมนิยมซ้ายจัดหรือเขมรแดง จากนั้นกัมพูชาได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรมนุษย์ กล่าวคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 6.0% เป็นเวลานาน 10 ปี ภาคสิ่งทอ เกษตรกรรม ก่อสร้าง เสื้อผ้าและการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งได้นำไปสู่การลงทุนจากต่างชาติและการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 มีการค้นพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติใต้น่านน้ำอาณาเขตของกัมพูชา เป็นที่เชื่อกันว่าเมื่อมีการสำรวจและขุดเจาะภายในปี พ.ศ. 2556 นี้ จะพบน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก นอกจากการลงทุนของต่างชาติแล้วการท่องเที่ยวก็ยังเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้กัมพูชาอย่างมาก เนื่องจากกัมพูชาถือเป็นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย ในทุกๆวันจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปชื่นชมความงามของอารยะธรรมขอมโบราณและความงามทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงหลงเหลือในสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ นครวัด นครธม และปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาจำนวนมาก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้กัมพูชามีการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นก็เนื่องจากอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำที่สุดในประเทศอาเซียน คิดแล้วตกอยู่ที่ 61 ดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณ 1,830 บาทต่อเดือนเท่านั้น จึงทำให้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นนักลงทุนชาวต่างชาติยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากรัฐบาลกัมพูชาผ่านมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนได้โดยเสรีไม่มีข้อจำกัด นักลงทุนสามารถกำหนดราคาสินค้าเพื่อส่งออกได้ ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจในกัมพูชาได้ 100% และสามารถซื้อทรัพย์สินทุกประเภทได้ยกเว้นที่ดิน แต่ทว่าชาวต่างชาติก็ยังมีสิทธิเช่าที่ดินทำกินระยะยาวถึง 99 ปี หลังจากนั้นสามารถต่อสัญญาได้ และในกรณีที่แรงงานภายในประเทศนั้นไม่พอ นักลงทุนสามารถนำแรงงานต่างชาติเข้ามาเพิ่มได้ โดยรัฐบาลได้ออกกฎหมายรองรับการอนุญาตแรงงานต่างชาติอีกด้วย นอกจากนั้นการทำธุรกรรมต่างๆ สามารถใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แทนเงินเรียลของกัมพูชาได้โดยสะดวก เพราะนั้นแล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่กว่า 60% ของธุรกิจทั้งหมดในกัมพูชาจะเป็นของคนต่างชาติ อย่างไรก็ตามกัมพูชาเองนั้นยังมีสาธารณูปโภคพื้นฐานในระดับที่ต่ำ การพัฒนาในเรื่องนี้ยังต่ำ รัฐบาลก่อสร้างได้น้อย และแม้แรงงานจะมีราคาถูกตามที่ได้เสนอไปในข้างต้นแต่ทว่าแรงงานที่ทักษะนั้นกลับมีค่อนข้างน้อย รัฐบาลกัมพูชาจึงพยายามสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติให้เข้าประกอบกิจการในประเทศเพื่ออาศัยเงินลงทุนเป็นรายได้เข้าประเทศ กับเพื่อไปจัดสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและพัฒนาจำนวนแรงงานที่มีทักษะต่อไป จุดอ่อนอีกประการของกัมพูชาคือการที่มีภูมิประเทศเพาะปลูกทำการเกษตรได้น้อย แต่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 % ทุกปี ทำให้ต้องนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคต่างๆจากต่างประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก แม้รัฐบาลกัมพูชาจะสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ แต่ยังคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักธุรกิจจากไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลระหว่างไทยและกัมพูชานั้นในปัจจุบันไม่ค่อยจะราบรื่นนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพิพาทเรื่องแย่งชิงพื้นที่ทับซ้อนในเขาพระวิหาร ซึ่งล่าสุดได้มีการฟ้องร้องต่อศาลโลกและในปัจจุบันยังรอฟังคำวินิจชี้ขาดอยู่ จึงมีผู้เกรงว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นดังกล่าวอาจบั่นทอนโอกาสขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศในอนาคตได้ แต่ถ้าหากรัฐบาลทั้งสองประเทศตกลงกันระงับข้อพิพาทดังกล่าวได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อไทยหลายประการ อนึ่งไทยสามารถที่จะส่งออกสินค้าเกษตรอุปโภคซึ่งไทยผลิตได้มากไปยังกัมพูชา ซึ่งการขนส่งทำได้ง่ายกว่าชาติอื่นเพราะพรหมแดนติดกันและคนกัมพูชายังนิยมสินค้าจากไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเข้าไปลงทุนในกัมพูชาที่มีค่าแรงงานถูกน่าจะคุ้มค่าต่อนักลงทุนไทย ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้นไทยและกัมพูชามีโอกาสที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันโดยอาศัยพื้นที่ทับซ้อนให้เป็นประโยชน์ จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามโอกาสของนักลงทุนไทยในกัมพูชายังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองของทั้งสองประเทศเป็นหลัก ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...