AEC Advisor in Asian Economic Community of ASEAN Countries

โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในพม่า

โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในพม่า

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com การที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC กำลังจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ทุกประเทศสมาชิกต่างเร่งเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศของตนสามารถแข่งขันกับประเทศสมาชิกอื่นได้มากที่สุด แต่ละประเทศพยายามหาจุดเด่นเพื่อจูงใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศตน ซึ่งในครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานของประเทศไทยไปแล้ว ในคอลัมน์นี้จะขอพูดถึงการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานในประเทศพม่ากันบ้าง ตั้งแต่เปิดประเทศ พม่ากลายเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติรวมถึงนักลงทุนไทย โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ พม่าถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางแหล่งพลังงานมาก ดังจะเห็นได้จากการที่พม่ามีก๊าซธรรมชาติสำรองจำนวนมาก สามารถจำหน่ายให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 7.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้แหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของพม่ายังมีความสดใหม่อยู่มากและยังไม่ถูกค้นพบกับขุดเจาะอย่างจริงจัง ทำให้นักลงทุนต่างชาติอยากเข้ามาครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่พม่ามีอยู่นี้ อย่างไรก็ตามศักยภาพการผลิตไฟฟ้าของพม่านั้นยังค่อนข้างจำกัด พม่าสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียง 3,361 เมกะวัตต์ต่อปี แหล่งพลังงานไฟฟ้าในพม่าร้อยละ 70 มาจากพลังน้ำ ร้อยละ 30 มาจากพลังลม ส่วนที่เหลือมาจากถ่านหิน ทั้งนี้ได้มีรายงานจาก The New Energy Architecture ซึ่งเป็นรายงานวิเคราะห์ประเด็นความท้าทายในภาคพลังงานของพม่าระบุว่า ประชากรเกือบสามในสี่ของประเทศหรือประมาณ 60 ล้านคนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ประชากรในพื้นที่ชนบทที่มีอยู่ถึงร้อยละ 70 นั้นมีเพียงร้อยละ 16 เท่านั้น ที่เข้าถึงไฟฟ้าได้ ทำให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข งานและการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พม่าจึงต้องเร่งปรับปรุงคุณภาพของระบบการผลิตไฟฟ้าเป็นการเร่งด่วนเพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น จากรายงานข่าวล่าสุด รัฐบาลพม่าประกาศแผนว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์แห่งแรกของประเทศซึ่งจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีมูลค่า 8,200 ล้านบาท สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 210 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุน 275 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,250 ล้านบาท บนเนื้อที่ 2,000 ไร่ ที่จังหวัดมินบู (Minbu) เขตเมเกว (Magway) นครหลวงเนย์ปิดอว์ (Naypyidaw) โดยมีบริษัท กรีน เอิร์ธ พาวเวอร์ จำกัด จากไทย เป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวจะใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 18 เดือน แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกกำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ เฟสที่สองกำลังผลิต 70 เมกะวัตต์ ส่วนเฟสที่สามจะทำหน้าที่เข้ามาเสริมกำลังผลิตไฟฟ้ารวมของพม่าให้มั่นคงมากขึ้น ซึ่งพม่าวางเป้าหมายว่าภายในปี พ.ศ. 2573 จะต้องมีกำลังผลิตรวม 30,000 เมกะวัตต์ และมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนร้อยละ 10 ด้วย ทั้งนี้ปัจจัยผกผันที่อาจจะทำให้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าไม่ราบรื่นนั้นอาจจะเกิดจากรัฐบาลพม่า เพราะแม้จะเปิดประเทศแล้ว แต่รัฐบาลทหารยังคงยึดครองอำนาจอยู่ ซึ่งวิธีการบริหารงานยังมีลักษณะเผด็จการ ดังนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งกะทันหันเป็นเหตุให้โครงการนี้ไม่สำเร็จแบบโรงไฟฟ้าที่ทวายหรือโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลระงับคำสั่งก็เป็นไปได้ หากรัฐบาลพม่ามองว่าเป็นปัญหา จากนี้เราคงต้องตามข่าวโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพม่ากันอย่างใกล้ชิดว่าจะทำสำเร็จลุล่วงทันการเปิด AEC หรือไม่ ซึ่งหากทำสำเร็จด้วยเทคโนโลยีที่สะอาดและมีประสิทธิภาพสูงก็จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศพม่าให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแน่นอน และนักลงทุนจำนวนมากย่อมจะให้ความสนใจเข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานของประเทศพม่ามากยิ่งขึ้น ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...

ปรับปรุงท่าอากาศยานรับ AEC

ปรับปรุงท่าอากาศยานรับ AEC

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและการที่ประชากรในเอเชียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีการคมนาคมทางอากาศมากขึ้นและอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทแอร์บัส (Airbus S.A.S) บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของโลกคาดการณ์ไว้ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าปริมาณเครื่องบินพาณิชย์ในเอเชียจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,400 ลำ จากปัจจุบันในเอเชียมีเครื่องบินพาณิชย์ประมาณ 4,300 ลำ สำหรับในภูมิภาคอาเซียนนั้นอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สังเกตได้จากการเกิดของสายการบินราคาประหยัด (Low – Cost Airlines) ที่เกิดขึ้นหลายรายในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็น Nok Air, Air Asia, Jetstar, Tiger Airways เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเสนอนโยบายการเปิดเสรีทางการบินภายในภูมิภาคอาเซียนเมื่อปี พ.ศ. 2552 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้อุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศเติบโตมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการเปิดเสรีทางการบินนี้ช่วยลดข้อจำกัดในการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ รวมไปถึงการลดข้อจำกัดด้านความจุและความถี่ของเที่ยวบินระหว่างประเทศอีกด้วย จากการเติบโตของอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศในอาเซียนดังกล่าวทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศต้องทำการปรับปรุงและขยายท่าอากาศยาน รวมทั้งเตรียมพร้อมในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงรันเวย์และการสร้างท่าอากาศยานเพิ่มเพื่อรองรับนักเดินทางและการขนส่งทางอากาศอื่นๆ เช่นในประเทศสิงคโปร์มีโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี (Changi Airport) โดยมีแผนการสร้างอาคาร Terminal 4 เพิ่ม รวมไปถึงการขยายอาคาร Terminal 1 ของสนามบิน เพื่อรองรับผู้โดยสาร ซึ่งปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมามีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานชางงีกว่า 51.2 ล้านราย เป็นต้น ในส่วนของประเทศไทยนั้นมีโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาความแออัด สนามบินไม่พอรองรับผู้โดยสาร ทั้งนี้ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ได้เปิดเผยแล้วว่ามีแผนการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ซึ่งหากดำเนินการขยายเสร็จจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 60 ล้านคน โครงการขยายท่าอากาศยานฯ ระยะที่ 2 คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ ทอท. ยังมีแผนที่จะขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในระยะที่ 3 ต่อไป เนื่องจากคาดว่าในปี พ.ศ. 2560 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 60 ล้านคน ซึ่งจะเท่ากับจำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานจะรองรับได้หลังจากการขยายระยะที่ 2 จึงต้องเร่งสร้างโครงการระยะที่ 3 ให้เร็วขึ้น เพื่อมิให้ประสบปัญหาความแออัดตั้งแต่เริ่มเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ด้านท่าอากาศยานเชียงใหม่ที่คาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจนทะลุ 5.1 ล้านคน ก็เตรียมที่จะปรับปรุงท่าอากาศยานเช่นกัน โดยท่าอากาศยานเชียงใหม่จะเน้นไปที่การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นบริการ Wi-Fi มุมสำหรับเด็กและมุมอ่านหนังสือเพื่อให้ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการจัดพื้นที่แสดงสินค้า OTOP และจัดการแสดงพื้นเมืองภายในท่าอากาศยานเพื่อเผยแพร่และส่งเสริมวัฒนธรรมไทยให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย นอกจากนี้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังมีนโยบายการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพร้อมจะสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้เป็น Green Airport อีกด้วย ส่วนจังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชาและมีนโยบายที่จะพัฒนาจังหวัดให้เป็นประตูอีสานสู่สากล เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีเส้นทางเชื่อมต่อกับประเทศกัมพูชาและสามารถเดินทางต่อไปถึงประเทศเวียดนามได้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์จึงมีแผนที่จะปรับปรุงสนามบินสุรินทร์ภักดี สนามบินเก่าของจังหวัดที่ปัจจุบันไม่ได้เปิดใช้เชิงพาณิชย์ ให้กลายเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ เพื่อเปิดเส้นทางคมนาคมทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การลงทุน จังหวัดสุรินทร์ถือเป็นประตูสู่อาเซียนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการบินของภาคอีสานตอนใต้ รองรับผู้โดยสารและการขนส่งทางอากาศในแถบอีสาน กัมพูชา และเวียดนาม อันเป็นการเพิ่มทางเลือกในการคมนาคมและขนส่งระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้อีกด้วย การปรับปรุงท่าอากาศยานต่างๆ ของไทยนี้จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะปรับปรุงท่าอากาศยานต่างๆ ให้ทันสมัย สะดวกสบาย พร้อมรับผู้โดยสารที่จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2558 นั่นเอง ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com...

กองทุน AIF

กองทุน AIF

  ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com แม้ว่าประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจยังถือได้ว่าล้าหลังหากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะเมื่อวัดด้วยอัตราส่วนของจำนวนทางหลวง ทางรถไฟและการเข้าถึงไฟฟ้าต่อประชากรแต่ละคน ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนหรือ ASEAN Finance Ministers จึงมีแนวคิดร่วมกันให้มีการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน” (ASEAN Infrastructure Fund) หรือเรียกโดยย่อว่า “กองทุน AIF” ขึ้น การจัดตั้งกองทุน AIF เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือทางการเงินของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคโดยมีวัตถุประสงค์ในการเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภายในและระหว่างพรมแดนของประเทศสมาชิกอาเซียนกับทั้งส่งเสริมการนำเงินออมภายในภูมิภาคอาเซียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กองทุน AIF มีสถานะทางกฎหมายเป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนในประเทศมาเลเซียซึ่งก็เป็นชาติที่ลงเงินทุนเบื้องต้นสูงที่สุดคือ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กองทุน AIF มีอำนาจในการทำสัญญาและดำเนินการต่างๆ ในนามของตนเอง มีทุนเริ่มต้นทั้งหมด 485.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นเงินร่วมลงทุนที่มาจากประเทศสมาชิกอาเซียนจำนวน 335.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยกเว้นประเทศพม่าซึ่งยังไม่ได้เข้าร่วมในกองทุนนี้ และมาจากธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ Asian Development Bank: ADB จำนวน 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ADB นอกจากจะเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในกองทุนนี้แล้วยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารกองทุนและเป็นผู้ให้ความมั่นใจว่าการลงทุนทั้งหลายของกองทุน AIF นี้จะดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผลในทางการเงินด้วย สำหรับประเทศไทยมีสัดส่วนการลงเงินทุนจัดตั้ง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 450 ล้านบาทและมีสิทธิในการออกเสียงร้อยละ 3.09 การชำระเงินเข้ากองทุน AIF จะแบ่งออกเป็น 3 งวดเท่าๆ กันซึ่งประเทศสมาชิกจะต้องชำระเงินงวดแรกภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 งวดที่เหลือจะต้องชำระเมื่อครบรอบของแต่ละปีของการชำระเงินงวดแรก เป้าหมายของกองทุนคือการให้การสนับสนุนเงินกู้กับโครงการต่างๆ ประมาณ 6 โครงการต่อปี ในแต่ละโครงการมีเพดานการกู้ยืม (Project Limit) ไม่เกิน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โครงการที่จะได้รับเงินทุนจากกองทุน AIF นอกจากจะต้องเป็นโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้วยังต้องเป็นโครงการที่สามารถลดความยากไร้ ส่งเสริมการค้า และกระตุ้นการลงทุนได้ และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับกองทุน ในช่วง 3 ปีแรกของการดำเนินการ กองทุน AIF จะให้เงินกู้เฉพาะโครงการที่เป็นของภาครัฐหรือโครงการที่รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น เมื่อกองทุนได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ตามเป้าหมายที่ระดับ AA แล้ว กองทุนจึงจะพิจารณาโครงการของภาคเอกชน (Private Sector Development) ต่อไป โดยภายในปี ค.ศ. 2020 กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนตั้งความหวังว่าโครงการนี้จะสามารถปล่อยเงินกู้ได้เพิ่มขึ้นในระดับ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีมูลค่าทางการเงินด้านต่างๆ รวมทั้งหมดสูงกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ กองทุน AIF ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศสมาชิกได้ร่วมลงทุนจัดตั้งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะมีส่วนช่วยพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งในด้านการซื้อขาย การขนส่งสินค้า การค้าบริการและการลงทุนภายในภูมิภาค กับทั้งกองทุน AIF...

การลงทุนในเวียดนาม

การลงทุนในเวียดนาม

 ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม. Nakrit Sawettanan ACIArb ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ประเทศเวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมาก เศรษฐกิจของเวียดนามในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาที่ดีขึ้นและยังปรับตัวในทิศทางที่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจโลก รัฐบาลเวียดนามยังมีนโยบายสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยการให้ สิทธิประโยชน์ หลายประการแก่นักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ การที่เวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เมื่อปี 2550 ทำให้รัฐบาลเวียดนามต้องเร่งเปิดเสรีการลงทุนให้เป็นไปตามเกณฑ์ของ WTO ยิ่งส่งผลให้เวียดนามน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนไทยมากขึ้น แม้ว่าประเทศเวียดนามจะมีระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม แต่ก็เปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศใช้ กฎหมายการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Law on Foreign Direct Investment) ตั้งแต่ปี 2530 เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีการปฏิบัติและให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า เวียดนามมีนโยบายที่สนับสนุนการลงทุนโดยนักลงทุนจากต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงด้านการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม คือ กระทรวงวางแผนและการลงทุน หรือ Ministry of Planning and Investment (MPI) ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการวางแผนนโยบายและสิทธิประโยชน์ในการลงทุนให้กับชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ นอกจากนี้แล้ว กระทรวงดังกล่าวยังมีหน้าที่กำกับดูแลให้ความช่วยเหลือในด้านข้อมูลและส่งเสริมการลงทุนในเวียดนาม รวมไปถึงการพิจารณาและอนุมัติการลงทุนในโครงการต่าง ๆ การเปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุน เป็นการกระตุ้นให้มีการลงทุนและเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2553 อัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามอยู่ที่ร้อยละ 6.78 และในปี 2554 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นจากปี 2553 อีกร้อยละ 5.89 จึงเห็นได้ว่าเวียดนามมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ หากเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ด้วยกัน การลงทุนในเวียดนามนั้นมีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองของเวียดนามที่มีเสถียรภาพสูง ไม่ค่อยมีปัญหานัก ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่น่าโดนปัจจัยความมั่นคงทางการเมืองรบกวน ทั้งยังมีนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนที่โดดเด่นในการให้สิทธิประโยชน์แก่ นักลงทุนมาก เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ในกรณีที่เป็นการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกภายในเวลาไม่เกิน 270 วัน นับแต่วันที่นำเข้าวัตถุดิบ การให้สิทธิ์ในการส่งผลกำไรกลับประเทศได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องเสียภาษีจากผลกำไรที่โอนกลับประเทศนั้น การคิดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่างชาติ สำหรับธุรกิจทั่วไปในอัตราเดียวกันกับนิติบุคคลเวียดนาม ที่อัตราร้อยละ 25 และสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ หากมีการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติสูง มีทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ สำหรับโครงสร้างประชากรเวียดนามในปัจจุบันนั้น พบว่าร้อยละ 50 ของชาวเวียดนามเป็นประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี อัตราการรู้หนังสือ (Literacy Rate) ก็อยู่ในระดับสูงคือร้อยละ 94 สำหรับค่าแรงของแรงงานเวียดนามก็ถูกกว่าอินโดนีเซีย จีน และไทยค่อนข้างมาก โดยถูกกว่าค่าแรงในอินโดนีเซียกับจีนประมาณร้อยละ 30-40 และถูกกว่าไทยร้อยละ 60 แม้ค่าแรงของชาวเวียดนามในปีนี้มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นราวร้อยละ 25-30 เพื่อจูงใจให้ชาวเวียดนามมาเป็นแรงงานกันมากขึ้น จากเดิมค่าแรงที่ต่ำจนไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน และเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การปรับขึ้นแรงงานขั้นต่ำดังกล่าว ก็ยังถือว่าเป็นค่าแรงที่ถูกกว่าของไทย แรงงานเวียดนามยังได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนต่างชาติ ว่ามีฝีมือดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา และพม่า ด้านผู้บริโภคชาวเวียดนามก็มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับผู้บริโภคชาวไทย อีกทั้งจากการที่เวียดนามมีประชากรมากถึง 90 ล้านคน ทำให้ตลาดเวียดนามถือเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสในการลงทุนสูง ด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้น แม้ว่าถนนหนทางจะยังไม่พร้อมเท่าของไทย แต่ขณะนี้เวียดนามกำลังเตรียมปรับปรุงและก่อสร้างสนามบินจำนวน 26 แห่งทั่วประเทศ ทั้งยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ซึ่งได้ลงนามความตกลงกับญี่ปุ่นให้เข้ามาช่วยเหลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟฟ้าชินคันเซ็นให้ โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างใน ค.ศ. 2015 อย่างไรก็ดี ประเทศเวียดนามยังต้องมีการปรับปรุงเรื่องกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่ยังไม่ทันสมัยเพียงพอ ตลอดจนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งสาธารณูปโภคที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางบกที่มีต้นทุนสูง ปัญหาเรื่องไฟฟ้าที่ในบางพื้นที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน เกิดเหตุไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นประเทศหนึ่งที่มักประสบกับปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะพายุและอุทกภัยบ่อย ๆ นักลงทุนจึงต้องพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียในประเด็นต่าง ๆ ให้รอบคอบและถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจลงทุน ที่ปรึกษา www.aec-advisor.com ดาวโหลดเอกสาร            ...